สารสกัดจากกระเจี๊ยบแดง

สารสกัดจากกระเจี๊ยบแดง มีสารแอนไทไซยานิน และสารโพลีฟีนอล ซึ่งได้แก่ Protocatechuic Acid ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มได้ และอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ AHA ต่างๆ ได้แก่ Citric acid และอื่นๆ เพื่อช่วยผลักผิวหน้าให้ขาว ละเอียดเนียนนุ่ม ช่วยลดปัญหาเรื่องฝ้า กระ และจุดด่างดำ

ในกระเจี๊ยบแดง อุดมไปด้วยสารฟลาไวนอยด์นานชนิด และวิตามินแร่ธาตุสำคัญหลายตัวที่ช่วยบำบัดผิวจากการตกค้างของเม็ดสีเมลานิน และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้สูง ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง และมีฤทธิ์เผยผิวให้ใสอย่างอ่อนๆ ไม่รุนแรง และไม่มีผลข้างเคียง มีฤทธิ์ในการลดการเกิดเม็ดสีผิว

สารสำคัญที่พบ คือ สารกลุ่ม flavonoid ชื่อ  crysanthemin, delphinidin-3-O-sambubioside, myricetin, hibiscitrin, gossypitrin, กลุ่ม phenylpropanoid ชื่อ ortho-coumaric acid, para-coumaric acid, ferulic acid พบว่าสารสกัดจากกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งตัวและมะเร็งต่อมลูกหมาก มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ลดน้ำตาลในเลือก และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อแกรมบวก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก ฤทธิ์ลดไข้

 

ประโยชน์ของสารสกัดจากกระเจี๊ยบแดง

  • ช่วยชะลอความแก่และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มได้

  • ช่วยผลักผิวหน้าให้ขาว ละเอียดเนียนนุ่ม

  • ช่วยลดปัญหาเรื่องฝ้า กระ และจุดด่างดำ

  • ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง และมีฤทธิ์เผยผิวให้ใสอย่างอ่อนๆ

  • ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ลดน้ำตาลในเลือก

  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

โทษของการเจี๊ยบแดง

  • กระเจี๊ยบแดง อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ในผู้ป่วยบางราย เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

  • น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ แม้ว่ามีความเป็นพิษต่ำมาก แต่ก็ไม่ความดื่มในปริมาณเข้มข้นและติดต่อกันนานๆ เพราะจะไม่เกิดผลดีต่อสุขภาพ

กลุ่มบริโภคทีควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

  1. ผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคกระเจี๊ยบ เพราะอาจเป็นเหตุให้แท้งลูกได้และไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอในการบริโภคกกระเจี๊ยบระหว่างที่กำลังให้นมบุตร

  2. ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ เพราะว่ากระเจี๊ยบอาจจะช่วยลดระดับโลหิตให้ต่ำลงมากเกินไป และเสี่ยงเกิดอันตรายต่อสุขภาพในผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ

  3. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน กระเจี๊ยบอาจจะลดระดับน้ำตาลในเลือดลง ผู้ป่วยจึงควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และปรึกษาแพทย์ เพราะอาจต้องปรับยารักษาโรคเบาหวานด้วย

  4. ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ผู้ป่วยควรหยุดบริโภคกระเจี๊ยบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด เนื่องจากกระเจี๊ยบอาจลดระดับน้ำตาในเลือดลง ซึ่งอาจจะกระทบต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด ทั้งระหว่างและหลังหารผ่าตัด ผู้ป่วยควรหยุดบริโภคกระเจี้ยบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด