กระเจี๊ยบเขียว สมุนไพรต้านโรค บำรุงสุขภาพ

กระเจี๊ยบเขียว เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย หลายคนจึงเชื่อว่าการบริโภคกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ เช่น ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ภายในร่างกาย บรรเทาอาการเหนื่อยล้า และอาจรักษาโรคเบาหวานได้ หลายคนนิยมนำกระเจี๊ยบเขียวมารับประทานคู่กับน้ำพริกทั้งแบบสดหรือลวกต้มให้สุกก่อน และนำไปปรุงอาหารเมนูอื่น ๆ โดยกระเจี๊ยบเขียวปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 33 แคลอรี่ ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารอย่างโปรตีน ไฟเบอร์ โพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินเค สารประกอบกลุ่มฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ และอาจมีสรรพคุณทางการรักษาหรือป้องกันโรคบางชนิดได้

 

 

สรรพคุณของ กระเจี๊ยบเขียว

 

  1. ให้สารอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย

เมื่อทานทั้งส่วนของฝักและเมล็ดพร้อมกัน จะดีต่อสุขภาพและได้รับพลังงานสูง เพราะเมื่อตรวจวัดจากฝักและเมล็ดแห้ง อย่างละ 100 กรัมนั้น พบว่า ให้พลังงานสูงถึง 33 กิโลแคลอรี และมีสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เส้นใย  โดยเฉพาะโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน เอ ที่สูงเป็นพิเศษ ซึ่งจะช่วยบำรุงสายตา ประสาทและสมอง ให้ทำงานได้ดี  รวมถึงยังมี แคลเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

  1. ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารลำไส้

กิน กระเจี๊ยบเขียว แล้วดีต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะใน “ผล” หรือ “ฝักกระเจี๊ยบเขียว” มีสารที่เป็นเมือกจำพวกเพกทิน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ และยังช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ไม่ให้เกิดการลุกลามได้เป็นอย่างดี

  1. ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้

ในฝักและเมล็ดกระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยรวมกันสูงถึง 22% ซึ่งด้วยคุณสมบัติของ เส้นใย ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ รักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลและลดระดับไขมันในเลือดได้ กระเจี๊ยบเขียวจึงเป็นผักที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีงานวิจัยหนึ่งทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดและผิวของกระเจี๊ยบเขียว ฉีดเข้าช่องท้องของหนูทดลอง ที่เป็นโรคเบาหวานในปริมาณ 60 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าสารสกัดดังกล่าวอาจมีฤทธิ์ต้านเบาหวาน ด้วยการลดระดับน้ำตาลกลูโคส ในเลือดของหนูทดลองลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแม้ผลการทดลอง เป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น ยังไม่มีการทดลอองในมนุษย์ แต่ก็ถือว่ามีโอกาสที่จะช่วยรักษาโรคเบาหวานนี้ได้อยู่เหมือนกัน

  1. ช่วยบำรุงระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของ เส้นใย ที่อยู่ในฝักกระเจี๊ยบเขียว ก็คือ ช่วยในการทำงานของลำไส้ ให้ดูดซึมสารอาหารได้ง่าย ส่งผลให้ระบบขับถ่ายดี ถ่ายอุจจาระได้คล่อง จึงช่วยป้องกันอาการท้องผูก นอกจากนี้ ยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยเส้นใยของกระเจี๊ยบ จะไปจับกับน้ำดีจากตับ ซึ่งมักจับกับสารพิษที่ร่างกายต้องการขับถ่ายอยู่ในลำไส้ เมื่อขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ จะทำให้ไม่เหลือสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย

  1. บำรุงรักษาทางเดินปัสสาวะและโรคเกี่ยวกับเพศ

ในตำรายาแผนโบราณของจีน มีการนำราก เมล็ด และดอกกระเจี๊ยบ มาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ส่วนในประเทศอินเดียนั้นจะใช้ฝักนำมาต้มกับน้ำดื่ม เพื่อช่วยขับปัสสาวะ เมื่อมีอาการกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือเมื่อปัสสาวะขัด นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังทานฝักกระเจี๊ยบ เพื่อรักษาโรคหนองใน และนำรากต้นกระเจี๊ยบ มาต้มน้ำเพื่อใช้รักษาโรคซิฟิลิสด้วย

 

 

ข้อควรระวัง

 

  1. ไม่ควรบริโภคฝักกระเจี๊ยบแก่ เพราะเมล็ดกระเจี๊ยบเขียวที่เริ่มแก่ หรือ เมล็ดแก่ จะมีสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท คือ gossypol ที่อยู่รวมกับโปรตีนในเมล็ด เป็นอันตรายต่อร่างกาย

  2. สำหรับฝักกระเจี๊ยบอ่อนก็ไม่ควรวางใจ เพราะมีสารพิษต่าง ๆ ตกค้างอยู่มาก เช่น สารคลอร์พิริฟอส สารคาร์โบซัลแฟน และสารกลุ่มไดไทโอคาร์บาเมตส์ ซึ่งอาจมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติ ชาตามใบหน้า ลิ้น ริมฝีปาก และทำให้ชักได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย จึงควรเลือกซื้อกระเจี๊ยบเขียวจากแหล่งปลอดสาร และล้างกระเจี๊ยบเขียวให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำวิธีการล้างสารพิษตกค้างในผัก ไว้ดังนี้

  • ล้างด้วยน้ำไหล โดยนำกระเจี๊ยบเขียวไปแช่ในน้ำสักพัก ก่อนนำมาใส่ไว้ในตะกร้าหรือตะแกรง แล้วจึงเปิดให้น้ำไหลผ่านกระเจี๊ยบเขียวในความแรงที่พอประมาณ พร้อมกับใช้มือถูกระเจี๊ยบเขียวไปด้วยประมาณ 2 นาที ซึ่งวิธีนี้อาจลดสารพิษตกค้างได้ 25-65 เปอร์เซ็นต์

  • ล้างด้วยน้ำส้มสายชู โดยนำน้ำส้มสายชูปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 4 ลิตรมาผสมให้เข้ากัน แล้วจึงนำกระเจี๊ยบเขียวมาแช่ทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งวิธีนี้อาจลดสารพิษตกค้างได้ 60-84 เปอร์เซ็นต์

  • ล้างด้วยผงฟูหรือเบคกิ้งโซดา โดยนำผงฟูหรือเบคกิ้งโซดาปริมาณ ½ ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 10 ลิตรมาผสมให้เข้ากัน แล้วจึงนำกระเจี๊ยบเขียวมาแช่ทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งวิธีนี้อาจลดสารพิษตกค้างได้ 90-95 เปอร์เซ็นต์

  1. ไม่ควรกินแบบดิบ เพราะกลิ่นเหม็นเขียวของกระเจี๊ยบเขียวสด อาจทำให้เกิดอันตราย เช่น อาการเบื่อเมาได้ จึงควรต้มหรือลวกกระเจี๊ยบเขียวให้สุกจัดก่อนบริโภค ส่วนยางหรือเมือกของกระเจี๊ยบเขียวที่คนส่วนใหญ่เป็นกังวลนั้น อาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย เพราะเมือกดังกล่าวสามารถละลายน้ำได้ อีกทั้งยังช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่อีกด้วย

  2. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคกระเจี๊ยบเขียวเสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการรักษา เพราะมีงานวิจัยหนึ่งพบว่า กระเจี๊ยบเขียวอาจยับยั้งการทำงานของยาเมทฟอร์มินซึ่งเป็นยาที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน