กะหล่ำปลีม่วง เป็นผักที่อยู่ในตระกูลเดียวกับผักคะน้า และผักกาดขาว มีถิ่นกำเนินอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จะแตกต่างกับกะหล่ำปลีเพียงแค่สีและรสชาติที่ขมกว่า และมักถูกใช้เพื่อการตกแต่งจานมากกว่าทานจริงจัง ทั้งที่กะหล่ำกปลีม่วงมีคุณค่าทางสารอาหารไม่น้อยกว่าผักชนิดอื่นๆ
ประโยชน์ของกะหล่ำปลีม่วง
-
กะหล่ำปลีม่วงมีแคลอรีต่ำ มีใยอาหารสูง และยังมีโปรตีนอีกเล็กน้อย เมื่อทานเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นจึงช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
-
กะหล่ำปลีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน และวิตามินเค มีส่วนช่วยบำรุงสมอง ป้องกันประสาทถูกทำลาย และ ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์
-
ในกะหล่ำปลีม่วงมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าโพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิตสูงจากโซเดียมได้ โดยโพแทสเซียมจะช่วยขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และช่วยให้ผนังหลอดเลือดคลายตัว ทำให้ความดันโลหิตลดลง
-
ในกะหล่ำปลีม่วง มีซัลเฟอร์ (กำมะถัน) ที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการสร้างคอลลาเจนและเคราตินให้กับผิวหนัง ซึ่งจะป้องกันการเกิดริ้วรอยต่างๆ
-
กะหล่ำปลีม่วงมีสารกลูโคซิโนเลท และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด เช่น แอนโทไซยานิน และ อินโดล ที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง และป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้
-
เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงกะหล่ำปลีม่วง มีวิตามินซีมากกว่ากะหล่ำปลีธรรมดาถึงสองเท่า จึงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงได้ และช่วยป้องกันการเกิดไข้หวัด
-
บำรุงกระดูกและฟันแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกะหล่ำปลีม่วง ช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
ข้อควรระวัง
-
ควรระวังในผู้ที่แพ้ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำปม ผักน้ำ บร็อกโคลี คะน้า
-
การรับประทานกะหล่ำปลีม่วงแบบดิบมากๆ สารในกะหล่ำปลีดิบจะไปขัดขวางต่อมไทรอยด์ไม่ให้ดูดซึมไอโอดีนได้ตามปกติ และรบกวนการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์จากต่อมไทรอยด์ ผู้ป่วยภาวะไฮโปไทรอยด์หรือไทรอยด์ต่ำควรรับประทานกะหล่ำปลีดิบในปริมาณน้อย